วันนี้เราจะมาคุยเรื่องการฝึกหัดหรือสังเกตการออกเสียง T ของคนอเมริกันดีกว่า คนอเมริกันมีวิธีการออกเสียง T ที่ทำเอาวัยรุ่นเซ็งเลยเวลาที่ได้ยินครั้งแรก ไม่รู้ว่าออกเสียงอย่างนั้นไปได้ยังไง เหมือนที่เล่าไปในโพสต์แรกนั่นแหละค่ะ บางครั้งก็มีกฏบ้าบอ crazy rules ซึ่งเขาอธิบายไม่ได้ก็มี แต่เป็นธรรมชาติของเขา ยังไม่ได้พูดถึง T แต่ขอพูดเรื่องนี้ก่อนค่ะ
เมื่อไปเรียนอยู่นั้นได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนฝรั่งโดยบังเอิญเนื่องจากขึ้นรถเมล์ผิด เพื่อนชื่อว่า Bob ก็ขึ้นรถเมล์ผิดด้วยเช่นกัน เลยได้มีโอกาสไปคลุกคลีกับครอบครัวของ Bob, Wilma และลูกๆ ทั้ง Jonathan และ Myra
Bob สอนว่าถ้าอยากจะเก่งภาษาอังกฤษต้องพยายามรู้ให้ได้ว่า เขาเรียกสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าอะไร เหมือนที่เราคุ้นเคยนั่นแหละค่ะ คำศัพท์ทั้งหลายก็จะต้องรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็พูดไม่ได้ เพราะในการอธิบายบางครั้งจะต้องใช้คำศัพท์ เราจะพูดว่า something like that, something like that ตลอดเวลาไม่ได้ ต้องหัดถาม ช่างถาม
"How many children do you have?"
"I have no children."
"Why no children? Why don't you say I have no child because It should be singular, shouldn't it?"
"Poppy, it is the way we use it. I don't know. It is a crazy rule."
การรู้และเข้าใจกฎเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งมันก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าเราคิดว่าคำนี้น่าจะออกเสียงอย่างนี้ แต่เขาออกอีกอย่างนึงไม่เป็นไปตามตัวสะกดก็ให้ทำใจยอมรับซะก่อน จะได้ไม่เครียด
การออกเสียงของคนอเมริกันนั้น ฟังสบายหูมากเลยสำหรับคนอเมริกันด้วยกันเอง ยกเว้นสำเนียงคนทางใต้ของอเมริกาที่เสียงจะยานมาก จนบางทีก็ฟังไม่ออก ง่ายที่สุดสำหรับคนอยากฝึกฟังคือ การค้นหาคลิปทางยูทูปแล้วทดลองฝึกทุกวันค่ะ ส่วนใหญ่ที่คนอเมริกันพูดจะเป็น Standard American English ที่คนมีการศึกษาใช้พูดกันค่ะ
มาว่าเรื่องตัว T ของเราต่อ ถ้า T เดียวไม่เป็นปัญหา (หู) เราพอรับได้เพราะมันจะเป็นเสียง T ที หรือไม่ก็คล้ายๆ เสียง D
ถ้าสองที TT ละก็ นี่แหละที่ต้องฝึกฟัง ถ้าฟังได้แล้วสนุกค่ะ ลองฟังดูนะ
TT ติดกันสองตัว จะได้ยินเสียงเป็น DD
bitter หูเราจะได้ยินเสียงเป็น bidder
better - "--------" - bedder
butter - "--------" - budder
Betty - "--------" - Beddy
potter - "--------" - podder
pattern - "--------" - paddern
มีอีกหลายคำที่สามารถใช้กฎนี้ได้ ลองฝึกฟังนะคะ
Harry Potter ถ้าคนอเมริกัน ออกเสียง จะเป็นแฮร์รี่ พ็อดเด่อร์
ถ้าเป็นอังกฤษ ออกเสียง แฮร์รี่ พ็อตเถ่อะ
คิดว่าคนอเมริกันที่ไม่เคยเดินทางออกไปไหนเลย จะมีลักษณะของหูขึ้เกียจ คือถ้าเสียงไม่เหมือนปุ๊บจะฟังไม่เข้าใจทันที แล้วก็พาลโมเมสรุปไปว่า คนพูดภาษาอังกฤษไม่ชัดน่ะ intelligent ไม่ดี ว่ากันอย่างงั้นเลยทีเดียว
ส่วนคนที่มีโลกทัศน์กว้าง เคยไปท่องเที่ยวที่นั่นที่โน่นที่นี่ จะพยายามเข้าใจและจะเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย เช่น Bob กะ Wilma เป็นต้น
T ต่อไป NT ถ้ามี N กับ T ติดกัน ดูเหมือนว่าจะไม่ออกเสียง T
internet หูเราจะได้ยินเสียง innernet อินเน่อะเน้ทเถอะ (เถอะ เบาๆ)
international - "------" - innernational อินเน่อะแน้ทชั่นนั่ลเล่อะ (เล่อะ เบาๆ นึกถึงลิเก
เวลาที่ร้องแล้วชอบกระดกลิ้นน่ะ)
interview - "------" - innerview
สังเกตคำที่น่าจะใช้กฎนี้ดูนะคะ ว่ามีคำอะไรอีก
วันนี้ลองไปซ้อมหูเท่านี้ก่อนนะคะ แล้วค่อยไป TH นี่ก็เป็นปัญหาสำหรับคนไทยในการออกเสียงเหมือนกัน เอากระจกมาด้วยนะคะ เอามาดูปากตัวเองเวลาอ่านครั้งหน้า เอาใหญ่ๆ ด้วยค่ะ ครั้งหน้าก็พรุ่งนี้แล้ว
แล้วพบกันพรุ่งนี้ค่ะ
Learn English Everyday
วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
จะพูดได้ ต้องฟังได้ก่อนจ้ะ
เมื่อวานนี้บอกว่าการพูดภาษาอังกฤษนั้น เหมือนสัญลักษณ์หยินหยาง ในง่ายมียากในยากมีง่าย จริงๆ ค่ะ ที่ว่าง่าย เพราะว่าถ้าเราพูดหรือตอบคำถามเป็นคำคำ ผู้ฟังก็น่าจะเข้าใจเราได้เหมือนกัน เทคนิคนี้สามารถใช้ได้กับคนที่ไม่มั่นใจว่าจะผูกประโยคที่ถูกต้องได้อย่างไร การผูกประโยค (สำหรับคนไทย) นี่แหละเป็นเรื่องยาก มัวแต่เรียบเรียงประโยคที่ถูกต้องอยู่ในหัว ก็จะทำให้โต้ตอบช้าไป
ต้องการหัดพูดให้ได้ มีอย่างนึงที่จะแนะนำคือต้องเลือกสำเนียงให้ได้ว่าเราจะออกเสียงสำเนียง อังกฤษ-อังกฤษ อังกฤษ-อเมริกัน หรือ อังกฤษ-ออสเตรเลีย ส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นไปได้เราน่าจะเลือกที่เราชอบที่สุด เพราะเรื่องของการออกเสียง เราต้องพยายามเลียนเสียงว่าจะออกเสียงอย่างไร เช่น
คนอเมริกัน ออกเสียง mountain จะได้ยินคล้ายๆ อย่างนี้ค่ะ เม้า-อึ้น ไม่มีเสียง T ขณะที่คนอังกฤษอาจจะออกได้ชัดเจนว่า เป็น เม้าเท่น ออกเสียงครบทุกตัว
water อเมริกัน จะออกเสียงคล้ายๆ ว้อออ-เดอะร ออกได้มั้ยคะ คือ ไม่มีเสียง T เหมือนกัน เป็นเทคนิคการออกเสียงของอเมริกัน อังกฤษก็น่าจะออกครบทุกเสียงเป็น ว้อออ-เถ่อะ เวลาได้ยินสำเนียงอังกฤษ ก็จะรู้สึกถึงความเป็นระเบียบแบบแผนขึ้นมาทันที
(หลักการออกเสียงตรงนี้ จะเล่าอย่างละเอียดในครั้งต่อไป เพื่อจะได้ไปสังเกตการออกเสียงของคนอเมริกัน และนำไปฝึกการพูดได้)
ครั้งนึงเคยไปอบรมเรื่องการเรียนการสอนที่ The University of Newcastle ออสเตรเลีย สัปดาห์แรก อาจารย์อธิบายเนื้อหา แล้วถามผู้เรียนจากเมืองไทยว่าเราเข้าใจมั้ย พวกเราตอบเข้าใจ อาจารย์จะพูด O.K. แต่หูเราไพล่ได้ยินว่า อ๊าย-คาย ตลอด จนสงสัยว่า อ๊าย-คาย นี่อะไร อ๋อ! O.K. นี่เองเป็นสำเนียงออสเตรเลีย อบรมสามอาทิตย์ ปวดหัวจากการฟังไปสองอาทิตย์ พออาทิตย์ที่สามเหมือนเริ่มคุ้นเคย ก็ต้องกลับประเทศไทย แต่ละที่อาจจะออกเสียงไม่เหมือนกัน
ต้องออกตัวก่อนว่า จะเล่าเรื่องพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน เพราะเป็นสำเนียงที่คุ้นเคยมากที่สุด
จากประสบการณ์ จะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดี ต้องล้างสมองสิ่งที่ครูสอนภาษาอังกฤษเคยสอนไว้ให้หมด โดยเฉพาะการพูดที่ฝรั่งฟังแล้วไม่เข้าใจ มีหลายคำที่คนไทยพูดแต่ฝรั่งไม่เข้าใจ เช่น
error คนไทยมักอ่านว่า เออเร่อ แต่ที่เราได้ยินจะออกเสียง แอ๊เร่อ (จริง ๆ แล้ว r ก็ไม่ได้ออกเสียง ร เรือ ซะทีเดียว เช่นเดียวกับตัว l ก็ไม่ได้ออกเสียงแทนได้ด้วย ล ลิง - วันหลังค่อยเล่าละกัน)
data ออกเสียงชัดเจนว่า ดาต้า เสียงที่ได้ยินจะเป็น เด๊-ถะ
Pepsi ออกเสียงชัดเจนว่า เป๊ปซี่ ลองออกเสียงใหม่ค่ะ เน้นคำแรก คำหลังสั้น เพ้พ - สิ
Pizza ออกเสียงแล้วได้กินแน่นอนแบบไทยๆ ว่า พิซซ่า ลองเน้นคำแรก แล้วคำหลังสั้นๆ ค่ะ พี๊ซ - สะ
newspaper ออกเสียง นิว-เสอะ-เพ้-เผอะ โอ๊ย! อึดอัดจัง ลองใหม่ค่ะ นู้ส-เสอะ-เพ้พ-เผอะร
experience ออกเสียง เอ็กซ-เสอะ-พี-เหรียน ไม่เอาเหรียญค่ะ ลองออกเสียงนี้ค่ะ เอ่ก-เสอะ-พี-เรี่ยน
measure ออกเสียง มี้ช-ชั่ว ลองออกเสียงใหม่เป็น เม้ชชชช-เช่อร
anxiety ออกเสียง แอง-ไซ-ตี้, แอน-ไซ-ตี้ ลองเปลี่ยนออกเสียงนี้ค่ะ แอง-ซ้าย-เอ-ถิ
ถ้า anxiety กันแล้วลองพักการออกเสียงมาอ่านเรื่องเล่า(ขายหน้าตัวเอง)กันต่อดีกว่าค่ะ
เรียนหนังสือไปได้หนึ่งเทอม เกิดอยากจะไปเยี่ยมเพื่อนรักที่ San Diego ซื้อตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย เนื่องจากตั๋วราคาถูก ต้องขึ้นเครื่องที่เมือง Richmond, Virginia ที่อาศัยตอนเรียน ไปต่อเครื่องที่ Charlotte, North Carolina และต้องต่อจาก Charlotte ไป Baltimore, Maryland ตอนนั้นยังฟังไม่เก่งเลย อาศัยการอ่านเอาว่า ต้องไปขึ้นประตูไหน ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องเป็นอีกประตูหนึ่ง วันนั้นเลยตกเครื่องบินที่บัลติมอร์ ไปถามพนักงานภาคพื้นดินว่าทำไมถึงเวลาแล้วเครื่องจึงยังไม่มา ให้เขาดูพาสปอร์ตและตั๋ว เขาเลยว่านี่ไงผู้โดยสารคนสุดท้ายที่เขาเรียกตั้งนานแล้ว นั่งอยู่นี่เอง สรุปคือเขาหาเที่ยวบินต่อได้ แต่เราจะไม่ได้ไปถึงปลายทางตามเวลา น่าจะเป็นเวลาค่ำแล้ว เขาจะพยายามหาคนที่นั่งไปกับเราเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่หลงตกเครื่องอีก ตอนนั้นไปเรียนได้ 10 เดือนแล้ว (ชื่อคนไทยออกเสียงยากมาก อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียงภาษาอังกฤษ แบบที่ได้ยินที่สนามบินเมืองไทย เมินเสียเถอะ เหอ เหอ)
ขึ้นเครื่องไป ก็เลยชวนผู้โดยสารข้างๆ คุยกัน เป็นชายหนุ่ม ดูมีมารยาทดี ก็เลยเล่าให้เขาฟังว่าเราตกเครื่องบิน เขาถามว่ามาทำอะไร เราตอบว่า มาเรียนพยาบาล (nursing) ลองจินตนาการดูนะคะว่าออกเสียงยังไง เพราะเขาถามกลับมาว่า "You study nothing? you came from Thailand to study nothing?" โอเอ็มจี! ออกเสียงยังไงเนี่ย พยายามออกใหม่ หลายครั้งมาก กว่าเขาจะพูดว่า
"I see, you study nursing." ทำหน้าโล่งใจ ในที่สุดก็เข้าใจ
"What is your specialty area?" "Mental health and psychiatric nursing" ตอนที่พูดนี้ทั้งลิ้นทั้งปากทำไมมันพัลวันออกเสียงไม่ถูกเลย ฟังนานมากกว่าเขาจะเข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดในใจหรือเปล่าว่า นี่มันพยาบาลหรือคนไข้นะเนี่ย
Psychiatric ตอนอยู่เมืองไทย ออกเสียงอย่างมั่นใจว่า ไซ-เคีย-ตริก ถ้าจะพูดให้เขารู้เรื่องและเข้าใจ ต้องออกเสียงว่า เดาสิคะ ถูกต้องค่ะ ไซ-ขิ-เอ๊ะ-ทริค ออกเสียงให้ครบทุกตัว
มีพยัญชนะบางตัวเหมือนกัน ที่อยากให้แก้การออกเสียง เช่น W เด็กๆ เคยถูกสอนว่าให้ออกเสียงว่า ดับบลิว เดี๋ยวนี้จะออกเสียงแบบนี้แล้วค่ะ ดั๊บ-เบอะ-ยู
อยากให้เด็กไทยออกเสียงพยัญชนะตัวนี้ใหม่ด้วยค่ะ แก้ยากมากเลย H บางคนจะออกเสียงเป็น เฮ็ช ถ้าแก้ได้อยากให้ออกเสียงเป็น เอ็ชเช่อะ (เช่อะ เบาๆ หน่อย - พวกนี้ก็มีหลักในการออกเสียงเหมือนกัน แล้วจะค่อยๆ ทะยอยเล่าค่ะ)
ครั้งนึงอยากชวนเพื่อนฝรั่งคุย ว่าชอบดูหนังเรื่องอะไร เคยดูหนังเรื่อง Titanic มั้ย เรื่องนั้นน่ะ เป็นเรื่องที่ชั้นไม่เคยดู ออกเสียงนานมาก เน้นคำแรก คำกลาง คำสุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจ โอ๊ย! มันน่าจะตอบว่า ชู้รักเรือล่ม ซะน้อ ฝรั่งนี่เป็นอะไรไม่ทราบ ไม่ค่อยพยายามเข้าใจคนไทยเลย ไม่เหมือนคนไทย ขนาดฝรั่งไม่พูดอะไรยังเข้าใจ พยักหน้าได้เป็นระยะๆ
วันนี้ลองไปฝึกออกเสียงกันนะคะ พรุ่งนี้พบกันใหม่ค่ะ
ต้องการหัดพูดให้ได้ มีอย่างนึงที่จะแนะนำคือต้องเลือกสำเนียงให้ได้ว่าเราจะออกเสียงสำเนียง อังกฤษ-อังกฤษ อังกฤษ-อเมริกัน หรือ อังกฤษ-ออสเตรเลีย ส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นไปได้เราน่าจะเลือกที่เราชอบที่สุด เพราะเรื่องของการออกเสียง เราต้องพยายามเลียนเสียงว่าจะออกเสียงอย่างไร เช่น
คนอเมริกัน ออกเสียง mountain จะได้ยินคล้ายๆ อย่างนี้ค่ะ เม้า-อึ้น ไม่มีเสียง T ขณะที่คนอังกฤษอาจจะออกได้ชัดเจนว่า เป็น เม้าเท่น ออกเสียงครบทุกตัว
water อเมริกัน จะออกเสียงคล้ายๆ ว้อออ-เดอะร ออกได้มั้ยคะ คือ ไม่มีเสียง T เหมือนกัน เป็นเทคนิคการออกเสียงของอเมริกัน อังกฤษก็น่าจะออกครบทุกเสียงเป็น ว้อออ-เถ่อะ เวลาได้ยินสำเนียงอังกฤษ ก็จะรู้สึกถึงความเป็นระเบียบแบบแผนขึ้นมาทันที
(หลักการออกเสียงตรงนี้ จะเล่าอย่างละเอียดในครั้งต่อไป เพื่อจะได้ไปสังเกตการออกเสียงของคนอเมริกัน และนำไปฝึกการพูดได้)
ครั้งนึงเคยไปอบรมเรื่องการเรียนการสอนที่ The University of Newcastle ออสเตรเลีย สัปดาห์แรก อาจารย์อธิบายเนื้อหา แล้วถามผู้เรียนจากเมืองไทยว่าเราเข้าใจมั้ย พวกเราตอบเข้าใจ อาจารย์จะพูด O.K. แต่หูเราไพล่ได้ยินว่า อ๊าย-คาย ตลอด จนสงสัยว่า อ๊าย-คาย นี่อะไร อ๋อ! O.K. นี่เองเป็นสำเนียงออสเตรเลีย อบรมสามอาทิตย์ ปวดหัวจากการฟังไปสองอาทิตย์ พออาทิตย์ที่สามเหมือนเริ่มคุ้นเคย ก็ต้องกลับประเทศไทย แต่ละที่อาจจะออกเสียงไม่เหมือนกัน
ต้องออกตัวก่อนว่า จะเล่าเรื่องพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน เพราะเป็นสำเนียงที่คุ้นเคยมากที่สุด
จากประสบการณ์ จะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดี ต้องล้างสมองสิ่งที่ครูสอนภาษาอังกฤษเคยสอนไว้ให้หมด โดยเฉพาะการพูดที่ฝรั่งฟังแล้วไม่เข้าใจ มีหลายคำที่คนไทยพูดแต่ฝรั่งไม่เข้าใจ เช่น
error คนไทยมักอ่านว่า เออเร่อ แต่ที่เราได้ยินจะออกเสียง แอ๊เร่อ (จริง ๆ แล้ว r ก็ไม่ได้ออกเสียง ร เรือ ซะทีเดียว เช่นเดียวกับตัว l ก็ไม่ได้ออกเสียงแทนได้ด้วย ล ลิง - วันหลังค่อยเล่าละกัน)
data ออกเสียงชัดเจนว่า ดาต้า เสียงที่ได้ยินจะเป็น เด๊-ถะ
Pepsi ออกเสียงชัดเจนว่า เป๊ปซี่ ลองออกเสียงใหม่ค่ะ เน้นคำแรก คำหลังสั้น เพ้พ - สิ
Pizza ออกเสียงแล้วได้กินแน่นอนแบบไทยๆ ว่า พิซซ่า ลองเน้นคำแรก แล้วคำหลังสั้นๆ ค่ะ พี๊ซ - สะ
newspaper ออกเสียง นิว-เสอะ-เพ้-เผอะ โอ๊ย! อึดอัดจัง ลองใหม่ค่ะ นู้ส-เสอะ-เพ้พ-เผอะร
experience ออกเสียง เอ็กซ-เสอะ-พี-เหรียน ไม่เอาเหรียญค่ะ ลองออกเสียงนี้ค่ะ เอ่ก-เสอะ-พี-เรี่ยน
measure ออกเสียง มี้ช-ชั่ว ลองออกเสียงใหม่เป็น เม้ชชชช-เช่อร
anxiety ออกเสียง แอง-ไซ-ตี้, แอน-ไซ-ตี้ ลองเปลี่ยนออกเสียงนี้ค่ะ แอง-ซ้าย-เอ-ถิ
ถ้า anxiety กันแล้วลองพักการออกเสียงมาอ่านเรื่องเล่า(ขายหน้าตัวเอง)กันต่อดีกว่าค่ะ
เรียนหนังสือไปได้หนึ่งเทอม เกิดอยากจะไปเยี่ยมเพื่อนรักที่ San Diego ซื้อตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย เนื่องจากตั๋วราคาถูก ต้องขึ้นเครื่องที่เมือง Richmond, Virginia ที่อาศัยตอนเรียน ไปต่อเครื่องที่ Charlotte, North Carolina และต้องต่อจาก Charlotte ไป Baltimore, Maryland ตอนนั้นยังฟังไม่เก่งเลย อาศัยการอ่านเอาว่า ต้องไปขึ้นประตูไหน ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องเป็นอีกประตูหนึ่ง วันนั้นเลยตกเครื่องบินที่บัลติมอร์ ไปถามพนักงานภาคพื้นดินว่าทำไมถึงเวลาแล้วเครื่องจึงยังไม่มา ให้เขาดูพาสปอร์ตและตั๋ว เขาเลยว่านี่ไงผู้โดยสารคนสุดท้ายที่เขาเรียกตั้งนานแล้ว นั่งอยู่นี่เอง สรุปคือเขาหาเที่ยวบินต่อได้ แต่เราจะไม่ได้ไปถึงปลายทางตามเวลา น่าจะเป็นเวลาค่ำแล้ว เขาจะพยายามหาคนที่นั่งไปกับเราเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่หลงตกเครื่องอีก ตอนนั้นไปเรียนได้ 10 เดือนแล้ว (ชื่อคนไทยออกเสียงยากมาก อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียงภาษาอังกฤษ แบบที่ได้ยินที่สนามบินเมืองไทย เมินเสียเถอะ เหอ เหอ)
ขึ้นเครื่องไป ก็เลยชวนผู้โดยสารข้างๆ คุยกัน เป็นชายหนุ่ม ดูมีมารยาทดี ก็เลยเล่าให้เขาฟังว่าเราตกเครื่องบิน เขาถามว่ามาทำอะไร เราตอบว่า มาเรียนพยาบาล (nursing) ลองจินตนาการดูนะคะว่าออกเสียงยังไง เพราะเขาถามกลับมาว่า "You study nothing? you came from Thailand to study nothing?" โอเอ็มจี! ออกเสียงยังไงเนี่ย พยายามออกใหม่ หลายครั้งมาก กว่าเขาจะพูดว่า
"I see, you study nursing." ทำหน้าโล่งใจ ในที่สุดก็เข้าใจ
"What is your specialty area?" "Mental health and psychiatric nursing" ตอนที่พูดนี้ทั้งลิ้นทั้งปากทำไมมันพัลวันออกเสียงไม่ถูกเลย ฟังนานมากกว่าเขาจะเข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดในใจหรือเปล่าว่า นี่มันพยาบาลหรือคนไข้นะเนี่ย
Psychiatric ตอนอยู่เมืองไทย ออกเสียงอย่างมั่นใจว่า ไซ-เคีย-ตริก ถ้าจะพูดให้เขารู้เรื่องและเข้าใจ ต้องออกเสียงว่า เดาสิคะ ถูกต้องค่ะ ไซ-ขิ-เอ๊ะ-ทริค ออกเสียงให้ครบทุกตัว
มีพยัญชนะบางตัวเหมือนกัน ที่อยากให้แก้การออกเสียง เช่น W เด็กๆ เคยถูกสอนว่าให้ออกเสียงว่า ดับบลิว เดี๋ยวนี้จะออกเสียงแบบนี้แล้วค่ะ ดั๊บ-เบอะ-ยู
อยากให้เด็กไทยออกเสียงพยัญชนะตัวนี้ใหม่ด้วยค่ะ แก้ยากมากเลย H บางคนจะออกเสียงเป็น เฮ็ช ถ้าแก้ได้อยากให้ออกเสียงเป็น เอ็ชเช่อะ (เช่อะ เบาๆ หน่อย - พวกนี้ก็มีหลักในการออกเสียงเหมือนกัน แล้วจะค่อยๆ ทะยอยเล่าค่ะ)
ครั้งนึงอยากชวนเพื่อนฝรั่งคุย ว่าชอบดูหนังเรื่องอะไร เคยดูหนังเรื่อง Titanic มั้ย เรื่องนั้นน่ะ เป็นเรื่องที่ชั้นไม่เคยดู ออกเสียงนานมาก เน้นคำแรก คำกลาง คำสุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจ โอ๊ย! มันน่าจะตอบว่า ชู้รักเรือล่ม ซะน้อ ฝรั่งนี่เป็นอะไรไม่ทราบ ไม่ค่อยพยายามเข้าใจคนไทยเลย ไม่เหมือนคนไทย ขนาดฝรั่งไม่พูดอะไรยังเข้าใจ พยักหน้าได้เป็นระยะๆ
วันนี้ลองไปฝึกออกเสียงกันนะคะ พรุ่งนี้พบกันใหม่ค่ะ
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
Let's Speak English
This
is a chair. ดี๊ส
อี๊ด อะ แช
This
is a table. ดี๊ส อี๊ด อะ เทเบิ้น
This
is a ruler. ดี๊ส
อี๊ด อะ รู้เล่อ
This
is a rubber. ดี๊ส
อี๊ด อะ รับเบ้อ
This
is a pen. ดี๊ส
อี๊ด อะ เพ็ญ
This
is a pencil. ดี๊ส อี๊ด อะ เพ็ญซิ่ว
ข้างบน เป็นการฝึกอ่านออกเสียงตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่
5
แล้วมาเป็นเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้อ่านภายหลัง
วันนี้จะมาชวนพูดภาษาอังกฤษกัน
พูดภาษาอังกฤษนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย เหมือนสัญลักษณ์หยินหยาง
ในง่ายมียากในยากมีง่าย จริงๆ
การพูดภาษาอังกฤษก่อนไปเรียนที่อเมริกานั้น
บอกได้เลยว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะพูดออกมาได้แต่ละประโยค มีโอกาสเรียนฝึกพูดกับครูเคท
ลงเรียนหนึ่งคอร์ส ใช้เวลาเรียนทั้งสิ้น 20 ชั่วโมง สิ่งที่ได้จากการเรียนคือ
ความมั่นใจว่าเราพูดแล้วฝรั่งต้องเข้าใจ
เทคนิคอย่างนึงที่ครูสอนคือ
การให้ทุกคนน่าจะเป็นคนที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่สอง มีประโยคอัตโนมัติไว้ใช้ติดตัว
(เหมือนกับการพกยาดม ยาหม่อง) เพื่อจะได้สามารถสื่อสารกับฝรั่งได้ ตอนเด็กๆ พวกเราก็เคยเรียนประโยคอัตโนมัติเหมือนกัน
ลองสังเกตดูนะ
คุณครูเดินเข้ามาในห้อง
“please stand up” นักเรียนทุกคนยืนขึ้น เตรียมจะทักทายพร้อมกัน
“good morning, teacher” สวัสดีตอนเช้าครับ/ค่ะ คุณครู
(ทำไมชั่วโมงภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ต้องเป็นตอนเช้าด้วยนะ)
“good morning” สวัสดีจ้ะ “how
are you today?” เป็นไงกันบ้างวันนี้
“I am fine, thank you and how are you?” นักเรียนหลายคนตอบเหมือนกัน
แล้วถามคุณครูกลับว่าคุณครูสบายดีมั้ย
เนื่องจากพูดเหมือนเดิมทุกวัน
เสียงนักเรียนก็จะยานไปบ้างเหมือนเทปยืด แต่ยังคงพร้อมเพรียง
“I am fine.”
ครูสบายดี
แล้วก็เริ่มการสอนภาษาอังกฤษเลย (หมดประโยคอัตโนมัติทั้งครูและนักเรียนในอดีตแต่เพียงเท่านี้)
“เอ้า!
นักเรียน เปิดหน้า 20 ซิ วันนี้เราจะเรียนเรื่องการอ่านภาษาอังกฤษ
อ่านพร้อมๆ กันเริ่ม (จากนี้ไป ให้เอาท่อนแยกข้างบนมาอ่านซ้ำอีกครั้งหนึ่ง)
มาทบทวนประโยคอัตโนมัติกันดีกว่า
(ท่องจำให้ขึ้นใจ)
ประโยคอัตโนมัติสำหรับการทักทาย
สวัสดี Good
morning, good afternoon, good evening สุดแต่ช่วงเวลาอำนวย
สบายดีไหม How are you? เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า
How
are you doing? เป็นยังไงบ้าง
สบายดีหรือเปล่า
ทักทายทั่วไป How’s going? เป็นยังไงบ้าง
What’s
up? ว็อซสั้พ เฉพาะคำนี้ถ้าใครมาถามตอบอย่างเดียวเลยว่า
Not Much
สบายดีครับ/ค่ะ I am fine. Thank
you. ต้องไม่ลืมขอบคุณด้วยเสมอ
I
am doing very well. Thank you.
I
am good. Thank you. ประโยคนี้เราชอบใช้บ่อย บางทีคนอาจจะสงสัยดียังไง
อยากรู้ ความหมายก็คือสบายดีนั่นเอง
แต่จากความรู้สึกคิดว่าเราควรจะตอบ
เฉพาะอย่างไม่เป็นแบบแผน
เช่น กับคนที่เรารู้จัก กับเพื่อน
Pretty
good. Thanks. ไม่ใช่ประโยค
ควรเลือกใช้กับคนที่คุ้นเคย
ต้องไม่ลืมที่จะต้องถามกลับด้วยเสมอ
ด้วยคำถามสั้นๆ เช่น “And you?” “How are you?” “How are you doing?” เกือบลืมบอกไป
ว่าคุ้นเคยเฉพาะสำเนียงและวิธีพูดแบบอเมริกัน
อยากได้สำเนียงการพูดหรือลักษณะการพูดแบบอื่นๆ ต้องไปฝึกเอาใหม่นะคะ
ประโยค/คำอัตโนมัติชวนสนทนา
สวัสดีครับ/ค่ะ ผม/ดิฉันชื่อ........ครับ/ค่ะ Hello, my name is ………………
ยินดีที่ได้รู้จัก Nice to
meet you. (ผู้หญิงกรุณายื่นมือไปก่อนด้วย)
ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ/ค่ะ May I have
your name, please?
ผม/ดิฉันมาจากประเทศไทย I am from Thailand.
I
came from Thailand.
I
am originally from Thailand.
ผม/ดิฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก This is my first time here.
It's my first time here.
I
just got here for the first time.
ผม/ดิฉันนานๆ
มาครั้ง I rarely come here.
ส่วนใหญ่จะไปที่................ Usually I would go to…………..
ตื่นเต้นมาก so
excited
อากาศดีนะ nice weather
ทักทายไปเรื่อยๆ
ความจริงอาจไม่มีใครอยากรู้ก็ได้ ฮ่า ฮ่า
คำอัตโนมัติสำหรับอุทาน
จะพูดทั้งทีต้องเลียนให้เหมือนแม้คำอุทาน
อุ๊ย
(ทำของหล่น เหยียบเปลือกกล้วย ลื่น หรือ เกือบทุกกรณีที่เราใช้อุ๊ย)
Oops! ออกเสียง อุ๊บสซซ ลองซ้อมอุทานดูค่ะ
หุบปากค่ะ
โอ๊ย
(เจ็บคนเดินเหยียบตาปลา เดินชนโต๊ะ เจ็บทุกกรณีใช้ได้)
Ouch! ออกเสียง เอ๊าเช่อะ เช่อะเบาๆ ลองซ้อมดูนะคะ
ปากอ้าได้นิดหน่อย
ไม่งั้นออก เช่อะ ไม่ได้
คำกล่าวเวลาที่มีคนเสนอให้รับของบางอย่าง
รับกาแฟหรือชาดีคะ What
would you like to have, coffee or tea?
ขอบคุณมาก ไม่รับค่ะ No, thank
you. ไม่เอาต้องขอบคุณด้วยเสมอ
ห้ามออกเสียง อึ๊ แล้วส่ายหัว โบกมือ ต้องพูดเท่านั้นค่ะ
ถ้าเอาชาหรือกาแฟอย่างใดอย่างหนึ่ง Tea, please. Thank you. ต้องมี please ด้วยทุกครั้งเพราะเขา
อุตส่าห์ถาม
กาแฟก็เช่นกันนะคะ Coffee, please. Thank you.
ไม่ควรชี้
เอานี้ เอานี้
ถ้าจะเอาอย่างอื่น May I
have…………?
ใครอยากได้ประโยคอัตโนมัติอะไรอีก
ฝากคำถามไว้ได้ พบกันใหม่วันพรุ่งนี้ค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
Exercise
ส่วนใหญ่เราจะชินกับการแปลคำ exercise ว่าเป็นการออกกำลังกาย หรือ แบบฝึกหัด คงนึกออกนะว่า เวลาที่ทำการบ้านภาษาอังกฤษตอนที่เรียนสมัยเด็ก ต้องมีการทำแบบฝึกหัดด้วย ความหมายของ exercise วันนี้จะเป็นอีกความหมายหนึ่งที่เหมือนกับการฝึกนั่นแหละ แต่เป็นการฝึกความอดทน
exercise one's patience ถ้าผู้พูดกล่าวคำนี้ แสดงว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่สร้างความยุ่งยากใจหรือน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง เช่น เด็กนักเรียนส่งเสียงดังในห้อง ครูอบรมยังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัย ครูก็อาจจะพูดว่า You are exercising my patience. ได้
ถ้าเป็นวัยทำงาน การตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่บุคคล(ผู้สร้างปัญหา) นั้น Guan Teen อย่างมาก แล้วเรายังไม่มีโอกาสโต้ตอบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม เราก็อาจจะนับหนึ่งถึงสิบ count to ten ก่อน แล้วก็บอกตัวเองว่า You are exercising my patience. ในใจได้
exercise ที่สามารถนำมาใช้ได้อีก แบบที่เราก็ไม่ค่อยคุ้นอีกกรณีหนึ่งเช่น exercise power over someone or something ความหมายจะเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ แบบที่ต้องการจะควบคุมบุคคลอื่น ให้อยู่ในอาณัติหรืออิทธิพลของตน
วิธีการที่จะทำให้จำคำศัพท์ได้เป็นอย่างดีคือ การพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทุกวันกับศัพท์ที่เรียนรู้ใหม่ จนเกิดเป็นการใช้อัตโนมัติ ถ้าใช้เป็นอัตโนมัติได้แล้ว ก็จะไม่ลืม
ดังนั้นในสถานการณ์การบริหาร บุคคลที่จะใช้ exercise power over someone น่าจะเป็นตัวผู้บริหารเอง
ส่วนคนที่ใช้ exercise one's patience น่าจะเป็นได้ทั้งผู้บริหารและลูกน้อง คือต่างคนต่างต้องอดกลั้น ถึงแม้ว่าอยากจะตอกหน้ากันแทบตาย
มีความรู้สึกที่ถึงขีดสุดที่ยอมหรืออดทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แปลเป็นภาษาไทยว่า ฟางเส้นสุดท้าย last straw นึกถึง เพลงของใหม่ เจริญปุระ แค่คำว่า "หนักเกินไปแล้ว" อารมณ์เตรียมจะระเบิดแล้ว
วันที่เขียนนี้ ก็รู้สึกทั้งสามอย่างเลย สถานการณ์ใหม่ แต่คนเป็นคนเดิม
คนที่ชอบสร้างเรื่องจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีเรื่องก็ทำให้มีเรื่องขึ้นมา
จะเห็นฝรั่งใช้คำว่า make a scene
หล่อนเนี่ยชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องนะยะ (จริงๆ ไม่มีเรื่องแต่ชอบสร้าง)
She really like to make a scene.
น่าเบื่อจริงๆ
So boring.
เธอ (คุณ, มึง ตู๊ดตู๊ดตู๊ด ไม่สุภาพ) กำลังทดสอบความอดทนของฉัน (ฉัน, กู ตู๊ดตู๊ดตู๊ด ไม่สุภาพ) ใช่มั้ยเนี่ย
You're exercising my patience, aren't you?
ทั้งหมดที่เขียนมา จะมีภาษาไทยกำกับ เพื่อให้ผู้อ่านได้อารมณ์ไปด้วย
หมายเหตุ Guan Teen เป็นภาษา karaoke (แคราโยคี ที่ไม่ต้องการคำแปล)
...........................................................................
วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
Tiger Mom
Tiger Mom
เคยได้ยินคำว่า “Tiger Mom” มั้ย
เพิ่งได้ยินคำนี้คืนนี้เหมือนกัน ถ้าแปลตามคำศัพท์น่าจะหมายถึง
“แม่เสือ” ตอนที่ได้ยินก็สงสัยว่าหมายถึงอะไร
ตามความหมายที่เรียกว่า Tiger Mom
or Tiger Dad นั้นจะหมายถึง(โดยเฉพาะ)พ่อแม่ชาวเอเชียหรือเชื้อสายเอเชียที่อยู่ในอเมริกา
ที่เข้มงวดกวดขันกับลูกๆ เพื่อให้ลูกได้ดี ดังที่ตั้งใจไว้
เป็นที่เชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ วงศ์ตระกูล
ช่วงที่เรียนอยู่ ได้เรียนรู้อย่างนึงว่าคนเอเชียที่เรียกว่า Asian
American มีลักษณะอย่างหนึ่งที่คล้ายกันคือ ให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาของลูก
พยายามส่งเสียให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆ ดังๆ ส่งเสริมให้ลูกเป็นคนเก่ง เช่น
เป็นนักกีฬาประเภทต่างๆ
ดังนั้นเราจึงเห็นนักกีฬาที่หน้าตาบ่งบอกเชื้อลายเอเชีย
แต่เป็นนักกีฬาของอเมริกัน ที่รู้จักกันดีก็น่าจะเป็น มิเชล ควาน, เหย่า หมิง หรือคนล่าสุดที่กระแสแรงมาก
เจเรอมี หลิน (พยายามออกเสียงให้คุ้นหูคนไทย)
เพื่อนหลายคนที่ค่อนข้างจะสนิทกันเพราะพักอยู่ในอาคารเดียวกันมีทั้งเวียดนาม
เกาหลี อินเดีย เป็นกลุ่มที่เรียนในโรงเรียนทางด้าน Health Sciences มากที่สุด (เฉพาะมหาวิทยาลัยเรานะ
ที่อื่นอาจต่างกันไป) มีทั้งโรงเรียนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชฯ และอื่นๆ แอนดี้เพื่อนนักศึกษาทันตแพทย์เชื้อสายเวียดนาม
เล่าให้ฟังว่าส่วนใหญ่นักศึกษาที่เรียนโรงเรียนทันตแพทย์
จะมีเชื้อสายเอเชียเยอะมาก เกาหลี เวียดนาม เยอะที่สุด
ส่วนอินเดียนั้นจะเรียนที่โรงเรียนเภสัชฯ มากกว่า นี่หมายความรวมถึงปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษานะ
เป็นค่านิยมของคนเชื้อสายเอเชียที่คนอเมริกันก็ทราบว่า
พ่อแม่ชาวเอเชียเข้มงวดกับลูกมากแค่ไหน (ไม่รู้แอบอิจฉาเล็กๆ
ด้วยมั้ย) แต่ทั้งหมดก็ได้ผลคุ้มค่าการลงทุน (น้อยมากที่จะเห็นคนเอเชียตกงานในอเมริกานะ
เพราะส่วนใหญ่จะขยันไม่ย่อท้อ หนักเอาเบาสู้)
หลายๆ คนที่มีลูกคงจะคาดหวังกับลูกมากเหมือนกัน ไม่มีลูกเลยไม่ต้องวางแผนเข้มงวดกับลูก เพื่อนๆ บางคนอาจจะมี Tiger Mom และ/หรือ Tiger
Dad หรือบางคนตอนนี้อาจจะเป็น Tiger Mom หรือ Tiger
Dad อยู่ก็ได้
การพยายามพัฒนาลูกให้เป็นตามธรรมชาติหรือจริตของลูกน่าจะดีที่สุด หลายๆ คนคาดหวังกับลูกมาก
เพลาๆ ลงบ้าง ลูกๆ
น่ะแบกรับความคาดหวังพ่อแม่ไว้ในใจทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว เล่าได้ในฐานะที่เป็นลูก ถึงเป็นลูกเราเหมือนกันแต่สติปัญญา ความชอบ ความถนัดอาจไม่เหมือนกัน
(individual difference) บางครั้งความเครียดในเด็กสามารถแสดงออกทางกายได้ ทางจิตเวชเรียกโรคนี้ว่าเป็น
Psychosomatic Disorder ลองสังเกตดูนะ
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เรียนรู้อย่างไร ให้เก่งอังกฤษ
บทความที่เขียนนี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่อยากจะแลกเปลี่ยนให้กับผู้ที่สนใจเรียนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ตลอดเวลามีแต่ความท้อแท้ สิ้นหวัง ว่าทำไม เมื่อไรก็ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ อ่านก็ไม่เข้าใจ ฟังก็ไม่ออก พอนึกจะพูด ก็รู้สึกเหมือนปากสั่น บางทีก็สั่นไปทั้งตัว ที่แก้ไขได้ง่ายที่สุดคือ หนีไปจากสถานการณ์ที่ว่าไกลๆ นี่ขนาดว่ายังไม่ได้นึกถึงการเขียนนะ
ขอแนะนำให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้ทดลองทำสิ่งแรกดูก่อน
สิ่งที่จะทำให้เรียนภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจง่าย มีหลายอย่างด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ การสั่งสมองให้รู้ว่าภาษาอังกฤษไม่ยาก
เรียนรู้คำใหม่ทุกๆ วัน เหมือนกับเราเก็บเล็กผสมน้อย ไปเรื่อยๆ ลองหาดูว่าเราชอบเรียนรู้จากอะไร ข่าว เพลง หนัง หนังสือพิมพ์ หรือการพูดคุยกับผู้คน
ที่สำคัญต้องไม่ลืมให้กำลังใจตนเองทุกวัน ว่าเรารู้เพิ่มขึ้นๆ ๆ อย่ามองสิ่งที่ยังไม่รู้ พยายามใช้สิ่งที่รู้ไปเรื่อยๆ และให้กำลังใจตัวเองให้เป็นอัตโนมัติทุกวัน
ภาษาอังกฤษ บางครั้งก็จะมีกฎบ้าบอ ซึ่งแม้กระทั่งคนที่เป็นเจ้าของภาษาก็ไม่อาจอธิบายได้ เช่น การอ่านออกเสียง เป็นต้น ทำไมต้องใช้เอกพจน์ พหูพจน์ เป็นต้น ทำใจยอมรับไว้บ้างก็ดี
พยายามทำสิ่งที่ชอบทุกๆ วัน อย่าให้ขาด เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังเพลง ดูหนัง แล้วแต่ว่าทำอะไรมีความสุข
พยายามตั้งความหวังไว้บ้างว่า ต้องการรู้ภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร จะได้ไม่ทิ้งจุดมุ่งหมายที่ต้องการ เช่น เพื่อการเรียนต่อ เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ อยากสื่อสารได้ อยากท่องเที่ยวเมื่อมีโอกาส อยากหาแฟนต่างชาติ เป็นต้น
ลองดูนะคะ ว่าอยากได้อะไร จากการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จดหรือจำไว้ แล้วมาเริ่มกันเลยค่ะ
ขอแนะนำให้ทุกท่านที่อ่านบทความนี้ทดลองทำสิ่งแรกดูก่อน
สิ่งที่จะทำให้เรียนภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจง่าย มีหลายอย่างด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ การสั่งสมองให้รู้ว่าภาษาอังกฤษไม่ยาก
เรียนรู้คำใหม่ทุกๆ วัน เหมือนกับเราเก็บเล็กผสมน้อย ไปเรื่อยๆ ลองหาดูว่าเราชอบเรียนรู้จากอะไร ข่าว เพลง หนัง หนังสือพิมพ์ หรือการพูดคุยกับผู้คน
ที่สำคัญต้องไม่ลืมให้กำลังใจตนเองทุกวัน ว่าเรารู้เพิ่มขึ้นๆ ๆ อย่ามองสิ่งที่ยังไม่รู้ พยายามใช้สิ่งที่รู้ไปเรื่อยๆ และให้กำลังใจตัวเองให้เป็นอัตโนมัติทุกวัน
ภาษาอังกฤษ บางครั้งก็จะมีกฎบ้าบอ ซึ่งแม้กระทั่งคนที่เป็นเจ้าของภาษาก็ไม่อาจอธิบายได้ เช่น การอ่านออกเสียง เป็นต้น ทำไมต้องใช้เอกพจน์ พหูพจน์ เป็นต้น ทำใจยอมรับไว้บ้างก็ดี
พยายามทำสิ่งที่ชอบทุกๆ วัน อย่าให้ขาด เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังเพลง ดูหนัง แล้วแต่ว่าทำอะไรมีความสุข
พยายามตั้งความหวังไว้บ้างว่า ต้องการรู้ภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร จะได้ไม่ทิ้งจุดมุ่งหมายที่ต้องการ เช่น เพื่อการเรียนต่อ เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ อยากสื่อสารได้ อยากท่องเที่ยวเมื่อมีโอกาส อยากหาแฟนต่างชาติ เป็นต้น
ลองดูนะคะ ว่าอยากได้อะไร จากการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จดหรือจำไว้ แล้วมาเริ่มกันเลยค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)